ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ
ผู้เขียน รศ.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ

1.สติอยู่กับปัจจุบัน…ความท้าทาย ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับมนุษยชาติ
เห็นหัวข้อนี้แล้วเป็นอย่างไรบ้างครับ ธรรมดามากใช่ไหมครับ เราเคยได้ยินบ่อยๆว่า การมีสติอยู่กับปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเมื่อใดที่ขาดสติ เผลอใจลอย ไม่อยู่กับปัจจุบัน ก่อให้เกิดปัญหามากมาย ทั้งในระดับบุคคลและสังคม ถึงกระนั้นก็ตาม คนส่วนใหญ่ก็มักพูดถึงการ มีสติหรือการอยู่กับปัจจุบันเพียงเพื่อเตือนหรือปลอบใจเวลาที่พบคนที่มีความกังวลฟุ้งซ่านไปในอนาคตหรือคนที่กำลังผิดหวังเสียใจไปกับเรื่องในอดีต เรียกง่ายๆว่าเรื่องของคนอื่นเราชำนาญมาก เราให้คำแนะนำคนอื่น เตือนคนอื่นให้มีสติได้อย่างคล่องปาก แต่มีสักกี่คนที่สนใจศึกษา ทำความเข้าใจ และฝึกฝนให้ตัวเองมีสติที่งอกงามอยู่กับปัจจุบัน รู้เท่าทันความเผลอ ความหลงไปในอดีตหรืออนาคต และสามารถดูแลรักษาจิตใจของตัวเองให้เป็นปกติเป็นปัจจุบันอยู่เรื่อยๆเสมอๆจนเกิดความชำนาญ มีจิตใจที่มั่นคง เป็นผู้มีสติรู้ตื่น เบิกบาน การมีสติอยู่กับปัจจุบันจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เพราะเป็นเรื่องง่ายๆมีอานิสงส์มากมาย ทำให้เราเกิดความสุข ผ่อนคลาย สุขภาพจิตดีสุขภาพ ร่างกายแข็งแรง ตลอดจนมีผลทำให้ความฉลาดทางอารมณ์ดีขึ้น เรียกว่า เป็นยาครอบจักรวาลก็ว่าได้ ที่สำคัญไม่เสียเงิน เป็นของดีราคาถูกที่มีค่า มหาศาล แต่ไม่ว่าจะมีสรรพคุณดีแค่ไหน ถ้าไม่ฝึกฝนเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับตัวเอง ก็เปล่าประโยชน์ ตัวอย่างที่เห็นคือการส่งต่อทางโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าเฟซบุ๊ก หรือไลน์ เกี่ยวกับเรื่องประโยชน์ของสติสมาธิการรู้เนื้อรู้ตัว โดยที่คนส่งไม่ได้ศึกษาเรียนรู้อะไรเลยอ่านแล้วเห็นว่าดีก็ส่งต่อ รับมาส่งไปแต่ไม่เคยลงมือทำ ถึงเวลาหรือยังที่เราจะเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นชีวิตที่มีการพัฒนาสติ ควบคู่ไปกับการหันมาเอาใจใส่จิตใจของตนเอง เพื่อให้เท่าทันความคิด อารมณ์ต่างๆ และดำเนินชีวิตตามที่ถูกที่ควร ไม่ใช่ทำอะไรตามใจตัวเองนี่แหละความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติ
2.สติเกิดได้อย่างไร
ตอนที่ไม่มีสติจิตจะ “หลง” ไปกับความคิด ความรู้สึก ถ้าหลงยาว ๆ จนเหม่อลอยเรียกว่า“ไหล” คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว ลืมกาย ลืมใจ คือไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอยู่ ถ้าหลงมาก ๆจนขาดสติโดยสิ้นเชิง ก็เรียกว่า“หลุด” คือจากหลง แล้วไหล และก็หลุด ถ้าถึงขั้นหลุดก็จะมีความคิดหลงผิด หวาดระแวง หูแว่ว เห็นภาพ หลอน ล้วนเป็นอาการของโรคจิต (Psychosis) คนปกติทั่วๆ ไปก็จะหลงเสียส่วนใหญ่แต่ยังไม่กระทบวิถีชีวิตส่วนน้อยที่ไหลไป เหม่อลอย ฝันกลางวันจนเสียงานเสียการ สติเกิดเมื่อจิตจำสภาวะของกายของใจในขณะนั้นได้เปรียบเสมือนกับเวลาเรานั่งรถเมล์นั่งดูผู้คน ดูร้านรวงข้างทาง ใจลอย คิดโน่นคิดนี่ ไปเรื่อย ขณะกำลังคิดเพลินๆ บังเอิญเห็นคนที่เรารู้จัก จดจำได้แม่น เรื่องราวที่คิดเพลินอยู่ก็จะหยุดหมดหันไปสนใจคนที่เรารู้จักทำนองเดียวกันสติเกิดจากจำสภาวะของจิตใจขณะนั้นได้ จึงเกิดการระลึกหรือนึกได้รู้สึกตัวขึ้นมาย้ำว่าเป็นการจดจำสภาวะในใจ ไม่ใช่จำ สิ่งที่อยู่ภายนอก ถ้าจิตจดจำสภาวะได้แม่นและหลากหลาย จิตก็จะ ระลึกรู้สภาวะได้บ่อย เรียกว่า สติเกิดบ่อย ขอย้ำซ้ำอีกครั้งว่า สติที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้เป็นสติที่เกิดเอง โดยไม่ได้ตั้งใจ เหมือนเห็นคนที่รู้จักโดยบังเอิญ ไม่ได้เห็นเพราะตั้งใจจะส่ายตามองหา สรุปสติเกิดจากจิตระลึกรู้ โดยมีการจำสภาวะได้เป็นเหตุใกล้(เป็น ปัจจัย) นั่นเอง

3.ฝึกจิตอย่างไร
เป้าหมายการฝึกจิตไม่ใช่การบังคับ กดข่มจิต แต่เป็นการเรียนรู้ฝึกฝน เพื่อเปลี่ยนธรรมชาติความคุ้นชินของจิตที่ไม่หยุดนิ่ง คิดนึกไปต่างๆ นานา อดีตบ้าง อนาคตบ้าง ฝึกอย่างไร ยากหรือง่ายอย่างไร เชิญติดตามครับ เราจะฝึกฝนจิตใจได้สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ต้องเข้าใจธรรมชาติของ จิตก่อน การเข้าใจในที่นี้ไม่ใช่การเข้าใจด้วยทฤษฎี ไม่ใช่เข้าใจด้วยการฟัง อย่างเดียว ถ้ากล่าวอย่างย่อๆ คือ ธรรมชาติของจิตใจไม่อยู่นิ่ง เดี๋ยวก็คิดโน่น คิดนี่ เดี๋ยวไปอดีต เดี๋ยวไปอนาคต เดี๋ยวปรุงแต่ง เดี๋ยวก็แวบหลงจม ไปกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทั้งๆที่เมื่อกี้ไม่มีเรื่องอะไรเลย นั่งอยู่เฉยๆ คุยกันดีๆ มีเรื่องราวหรือเนื้อหาไปสะกิดเข้านิดหนึ่งก็หลงจมไปกับเรื่องราวนั้นได้ถึง ตอนนี้ท่านผู้อ่านคงเข้าใจธรรมชาติของจิตบ้างแล้ว แต่เป็นความเข้าใจระดับความคิดการฝึกฝนจะต้องเข้าใจด้วยการสังเกตเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง
ขั้นแรก คือ เข้าใจธรรมชาติของจิต เราเคยนั่งดูจิตหรือยัง ถ้าไม่เคย นั่งดู แล้วเชื่อว่าใช่ๆๆๆ ก็ไม่เกิดปัญญ เป็นเพียงความรู้ที่ฟังมาอ่านมา อาจบวกกับเคยเห็นตัวเองนิดๆ แต่ยังไม่แจ้งในธรรมชาติของจิตสักเท่าไร ต่อมาขั้นที่สองคือจิตของเราพัฒนาได้ฝึกฝนได้ธรรมชาติ ข้อที่สองนี้สำ คัญและมีคุณค่ามาก ธรรมชาติของจิตเปรียบได้กับลิงที่ซุกซน ไม่อยู่นิ่ง ถ้ามันเหนื่อยก็หลับ ตื่นลุกขึ้นมาก็ปีนป่ายต่อไป นี่คือธรรมชาติของลิงเป็นแบบนั้น อุปมาการฝึกจิตเหมือนกับการฝึกลิง เมื่อเราจับลิงมาจากป่า หากจะทำให้มันเชื่องก็มีหลายวิธีจะเอาแบบโหดๆ เลยคือหาเชือกผูกคอลิงไว้เลย แต่ลิงจะยอมอยู่ยอมหยุดไหม เผลอๆ มันจะดิ้นจนบาดเจ็บ หรือเชือกอาจจะรัดคอมันตายคาหลักก็ได้ วิธีทำให้เชื่องแบบอื่นๆ เช่น ยัดใส่ กรงไว้ แต่กรงแคบๆ มันจะอยู่ไหม แรกๆ ลิงอาจจะอยู่ แต่เวลาผ่านไป ก็อาจจะหงอย เซื่องซึม มันอาจจะสิ้นหวัง ขาดชีวิตชีวา นอนแหงแก๋ สูญเสียธรรมชาติความกระตือรือร้นของลิงไปได้ สิ่งที่เราทำเพื่อจะฝึกลิงจึงต้องค่อยๆ ทำเป็นขั้นเป็นตอนไป เช่น ใส่ลิงไว้ในกรงใหญ่ๆ ที่พอมีพื้นที่ มีขอบเขต และมีต้นไม้ให้มันปีนเล่นได้บ้าง แต่หนีไปไกล ๆไม่ได้ อุปมากับการฝึกลิงแบบนี้กับการฝึกจิต ลิงที่อยู่ในกรงใหญ่เปรียบเหมือนเรามีศีล ศีลในที่นี้หมายถึงศีลเบื้องต้น เช่น ศีล 5 ศีลเป็นกรอบ ทำให้ชีวิตไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อนทั้งตัวเราและผู้อื่นในภายหลัง เช่น ไม่โกหกใคร ไม่ขโมยของใคร ไม่มีปัญหากับใคร จึงไม่ต้องไปเดือดร้อน ในภายหลัง แต่ถ้าไปขโมยของคนอื่น ผิดศีล เราก็เดือดร้อนในภายหลังได้ แม้ไม่ถูกจับเพราะขโมยของ แต่ก็ต้องเดือดร้อนใจ ใจจะว้าวุ่น คิดฟุ้งซ่าน ว่าจะถูกจับได้ไหม ต้องคอยระวัง ขณะที่มีศีลจะทำให้เราสงบลงได้มากขึ้น จิตก็เชื่องลงบ้าง เพราะ สิ่งเร้าที่เกิดจากการไปก่อเรื่องนั้นน้อยลง เช่น เราไม่ขโมยของใคร เรา ไม่โกหกใคร ไม่ผิดลูกเมียใคร เราไม่ดื่มเครื่องดองของมึนเมาซึ่งทำให้จิตใจ เราไม่มีสติดังนั้น จิตเราก็จะเชื่องในระดับหนึ่ง ถือเป็นระดับที่อยู่ได้ใน สังคมได้เท่านั้น แต่จิตสามารถพัฒนาไปได้มากกว่านั้น หากเราจะฝึกจิตให้ก้าวหน้ากว่านี้ เปรียบดังฝึกลิงจนเริ่มเชื่องระดับ หนึ่งแล้ว ลิงก็จะเริ่มคุ้นเคยกับเราบ้าง เราก็ต้องหาปลอกคอให้มันใส่ อาจ ยังไม่ผูกเชือก เพียงให้มันคุ้นกับปลอกคอก่อน การฝึกจิตก็เช่นกัน พอเรา เริ่มมีศีล ต่อมาเราก็เริ่มศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะ เริ่มอะไรต่าง ๆเพื่อให้เกิด ความคุ้นเคยกับจิตมากขึ้น หลังจากที่เราใส่ปลอกคอลิงแล้ว ถัดมาก็ต่อเชือกให้ยาวหน่อย เป็น เชือกยาวๆ ที่สามารถผูกกับหลักได้ พอให้ลิงวิ่งเล่นหรือปีนป่ายขึ้นลงต้นไม้ ได้บ้าง หากอุปมาจิตของเรานี้เหมือนกับลิงที่ท่องเที่ยวไปทั่ว
แล้วถามว่า อะไรจะเป็นเครื่องผูกจิต คำตอบคือ สติ สติคือเชือกที่ผูกจิตเราเอาไว้ ถ้าสติเกิดช้า สติ ไม่คล่องแคล่ว ไม่ว่องไวพอ จิตก็หนีเที่ยวได้ไกล ถ้าสติเกิดเร็ว เรียกว่า แวบเดียวก็รู้ตัว เหมือนลิงกำลังจะกระโดดปุ๊บ เชือกก็กระตุกปั๊บ ซึ่งความ สงบความนิ่งจะเกิดขึ้นได้จากการฝึกฝน ไม่ใช่เกิดจากการบังคับ อย่างที่เรา ฝึกลิง แม้จะมีการบังคับนิดๆ หน่อยๆ กระตุกนิดหน่อย แต่ไม่เดือดร้อน ไม่บาดเจ็บ ลิงก็มีความสุข ต่อไปเราจะสอนฝึกให้ลิงขึ้นต้นมะพร้าว เก็บลูก มะพร้าว หรือสอนให้แสดงละครก็ยังได้ เพราะลิงมีความสุขเมื่อได้อยู่กับเรา หน้าที่ของเราคือ การฝึกฝนเพื่อพัฒนาเครื่องผูกจิต หรือสติของเรา นี่เอง หากมีอะไรเข้ามา จะมากหรือน้อย เช่น แค่มีเสียงติ๊งผ่านมาทางไลน์ สติก็หลุดไปแล้ว สิ่งสำคัญคือ เราจึงต้องฝึกฝนสติให้แคล่วคล่องว่องไวมากขึ้น นี่คือความหมายของวิธีการฝึกฝนจิตใจของคนเรา แต่ไม่หมดเพียงเท่านั้น เมื่อเรามีเชือกผูกคอลิงแล้ว ก็ต้องมีหลัก ใช่ไหมครับ ไม่เช่นนั้นเชือกก็ตามลิงไปเรื่อยๆ จึงต้องผูกไว้กับหลัก การ ฝึกสติก็เช่นกัน ฝึกสติได้ก็ต้องมีหลัก แล้วอะไรคือหลักที่ดี ที่จะช่วยให้เรา ผูกจิตไว้กับหลักได้โดยที่เชือกไม่หลุด คำตอบอยู่ในคำที่ชาวบ้านมักพูดบ่อย ๆ ว่ามีสติอยู่กับเนื้อกับตัวนะลูกเอ๊ย รู้เนื้อรู้ตัวไว้นะ นั่นคือ มีกายนี้ใจนี้ เป็นหลัก หรือผูกจิตไว้ให้อยู่กับตัวนั่นเอง หลักที่เป็นร่างกายจิตใจที่อยู่ตรงนี้หายากไหม ไม่เลยใช่ไหมครับ เพราะไปไหนก็ติดตามเราไปด้วย เหมือนของวิเศษ เพียงแค่ระลึกถึงกาย ของเรา กายก็ปรากฏ ระลึกถึงลมหายใจ ลมหายใจก็ปรากฏ หลักคือกาย กับใจของเรานี่เอง ซึ่งเป็นหลักสำคัญที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เรียกว่า “สติ- ปัฏฐาน4” หลักของเราเป็นหลักที่ไปไหนไปด้วย หาได้ง่ายมาก หยิบฉวยได้ เรียกว่าปักหลักได้ตลอดเวลา ณ วินาทีสุดท้าย จิตใจกำลังจะล่องลอย เรา ก็สามารถรับรู้เรื่องเกี่ยวกับกายใจของเราได้ เรากำลังจะตาย หลักก็ยังอยู่ อยู่ที่เราจะระลึกนึกได้มากน้อยแค่ไหน จะกลับมาใส่ใจได้ไหมหรือว่าจะถูก อะไรดึงไป เช่น ถูกความกลัว อนาคต อดีตลากไป ดังนั้น สิ่งที่เราจะต้องฝึกฝนเรียนรู้ก็คือทำให้หลักปรากฏบ่อยๆ อยู่กับกายใจได้บ่อยๆ เช่น ตอนนี้เรานั่งอยู่ใช่ไหม เพิ่งสังเกตเห็นหรือเพิ่งรู้ว่ากายนั่งอยู่ตอนที่อ่าน ก่อนหน้านี้เราไม่เห็นไม่รู้ ทั้งๆ ที่เราก็นั่งอยู่ เรียกว่า มีสติระลึกรู้ถึงการนั่ง นั่นคือมีการนั่งเป็นหลักเพื่อผูกจิตไว้ แต่สักพักเดี๋ยวก็ลืมไปว่านั่งอยู่ แล้วมาจดจ่อกับตัวหนังสือที่กำลังอ่าน แทน สิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ไม่ดี ไม่ได้ต่อว่านะครับ เดี๋ยวมันเกิด เบื่อๆ เซ็งๆ นึกขึ้นมาได้ อ๋อ ตอนนี้เรานั่งอยู่เนอะ อีกสักพักใจก็อาจจะ ลอยไปกับเรื่องที่กังวลใจ หรือนึกถึงการไปเที่ยวทะเลฝันไปนู่นไปนี่ นึกขึ้นได้อีกทีก็กลับมาอยู่กับหน้าหนังสือ หรือระลึกรู้ถึงการนั่งคำว่าอยู่กับหลักหรืออยู่กับตัวเอง คือมีตัวเองปรากฏ มีลมหายใจ ปรากฏคำว่าปรากฏนี้คือการปรากฏขึ้นกับใจเรา เพื่อให้เรารู้ไม่ใช่ปรากฏ กับคนอื่นหรือให้คนอื่นเขาเห็น เช่น ตอนนี้มีลมหายใจอยู่ มันก็ปรากฏ บ้าง ไม่ปรากฏบ้าง แต่จะทำอย่างไรให้มันปรากฏได้บ่อยๆ หรือเรียกว่ามีสติบ่อยๆ คำตอบคือ หมั่นระลึกถึงหรือใส่ใจมาที่กาย ที่อิริยาบถหรือลมหายใจ ไว้เรื่อยๆ บ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน เวลาเผลอขาดสติและนึกได้ก็จะกลับ มาที่ลมหายใจ กลับมาที่กายซึ่งนั่งอยู่ได้ไวขึ้น สิ่งสำคัญคือการฝึกบ่อย ๆให้จิตอยู่กับหลักกลับมาอยู่กับกายนี้ใจนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยจริงไหมครับ